สามารถ ดู "บทความที่ได้รับความนิยม 10 อันดับ

จาก ลิงค์ ส่วนล่างของหน้าบทความนี้ ค่ะ



หากบทความเหล่านี้ มีประโยชน์ อ่านแล้ว ชอบ อยากให้กำลังใจ เจ้าของบล็อก

สามารถทำได้เพียง กดแบ่งปัน ไปตาม google + หรือ facebook หรือ twiter

ขอบคุณค่ะ

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมื่อคนรัก หนีจากไป

 

สามี ภรรยาคู่หนึ่งรักใคร่กันดี แต่พอประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ก็เริ่มมีปากเสียงกันและมากขึ้นๆ จนภรรยาทนไม่ได้ขอกลับไปอยู่กับแม่ ต่อมาเมื่อสามีได้อ่านหนังสือ ทุกข์เพราะคิดผิด ก็ ได้คิดสำนึกรู้ตัวว่าตัวเองก็ผิดมากเพราะใช้อารมณ์และบ่นมากไป จึงไปเจรจาขอให้ภรรยากลับบ้าน แต่ภรรยาไม่ยินยอม โดดเดี่ยวคงพูดถึงเรื่องเก่าๆ ด้วยความเจ็บใจ สามีก็เป็นทุกข์เพราะทั้งห่วงและหวงภรรยา จึงมีจดหมายมาปรับทุกข์กับพระอาจารย์


พระอาจารย์สอนว่า
อาตมา ได้รับจดหมายจากคุณโยมแล้ว รู้สึกว่าเห็นใจคุณโยมเหมือนกัน แต่ว่าคุณโยมก็ควรพิจารณาให้เข้าใจ และยอมรับความจริงของชีวิต คุณโยมคงจะรู้สึกเป็นทุกข์และคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคร้ายมากคนเดียวในโลก แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่คุณโยมกำลังประสบอยู่ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกชีวิต ไม่มากก็น้อย ไม่ปัจจุบันก็ในอนาคต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง


ความรู้สึกผิดหวัง ไม่สมปรารถนา เสื่อมลาภ ทุกข์ เป็นโลกธรรมฝ่ายที่ให้โทษ แต่ทุกคนก็ล้วนต้องประสบ ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติ จะพบว่าแม้แต่พระพุทธองค์เองก็ประสบเหมือนกัน เมื่อ ครั้งพระพุทธองค์เสด็จหนีออกจากวังไปบวชเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์ เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่นนั้น แม้ว่าเป็นเจตนาที่ดีก็ตาม แต่เมื่อดูความรู้สึกของพระบิดา พระมเหสี พระโอรส และพระญาติของพระองค์ ก็คงมีความรู้สึกเหมือนคุณโยมในปัจจุบันนี้เช่นกัน


นอกจากนั้น ลูกศิษย์ของพระองค์เองคือ พระเทวทัต ก็ได้พยายามฆ่าพระองค์อยู่หลายครั้ง และมีช่วงหนึ่งพระราชาผู้ซึ่งเป็นโยมอุปฐากของพระพุทธองค์มีเหตุให้ต้องยกกองทัพไป ฆ่าพระญาติของพระองค์ทั้งหมด พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามถึง 3 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 4 พระองค์ ทรงพิจารณาแล้วว่าเป็นกรรม ไม่สามารถห้ามได้ เป็นเหตุให้ราชวงศ์ศากยะถูกฆ่าหมด พระพุทธองค์หมดสิ้นพระญาติตั้งแต่บัดนั้น และครั้งหนึ่งพระองค์เสื่อมเอกลาภถึงขนาดที่ทั้งพระองค์และหมู่ภิกษุต้อง ฉันอาหารที่ใช้เลี้ยงม้าตลอดทั้งพรรษา


ในบางพรรษา ลูกศิษย์ของพระพุทธองค์มีเรื่องขัดแย้งถึงแตกสามัคคีกัน พระองค์ทรงห้ามอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ในป่าตามลำพัง อีกครั้งหนึ่งที่โลกธรรมฝ่ายที่เป็นโทษเกิดแก่พระพุทธเจ้า คือเมื่อ พระองค์ถูกชาวเมืองนินทาว่าร้าย เพราะถูกนักบวชนอกศาสนาใส่ความว่า พระองค์ทำให้อุบาสิกาตั้งท้อง


ให้คุณโยมน้อมพิจารณาดู แม้แต่พระพุทธองค์ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาบุรุษของโลก ชีวิตของพระองค์ก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสสอนว่า ชีวิตเป็นทุกข์


ทุกข์สัจจะ ได้แก่
1. ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์
2. ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์
3. ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
4. ความผิดหวัง ไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ ก็เป็นทุกข์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงของชีวิต
เราจึงควรยอมรับความจริงเหล่านี้
ไม่มีชาวโลกคนใดจะหนีพ้นได้


ปัญหาคุณโยมกับภรรยานั้น ถ้าพูดถึงความถูกผิดแล้ว
ต่างก็ผิดเหมือนกัน ถูกผิดเท่ากัน
ดังนี้ ต่างคนควรหาข้อเสียของตัวเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นความพอดีกับการกระทำที่แต่ละคนได้ทำมา


ถ้าผิดฝ่ายเดียว ปัญหาคงไม่เกิด
เหมือนกับตบมือข้างเดียว เสียงย่อมไม่ดัง


ดังนั้น สิ่งที่ควรปฏิบัติ คือ


ประการที่หนึ่ง ทำความรู้สึกปล่อยวาง เพื่อให้ใจสงบ


ประการที่สอง เจริญ เมตตา พยายามส่งกระแสใจที่เป็นความปรารถนาดี เป็นความรักที่บริสุทธิ์ให้แก่ภรรยา อาจใช้วิธีนึกเห็นมโนภาพ เห็นหน้าเห็นตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใจของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนกับใคร ขอให้เขามีความสุข ให้พยายามเจริญเมตตา คิดดี พูดดี ทำดี ทั้งแก่ตัวเราเองและแก่ภรรยา ผลก็คือ ตัวเราก็จะเกิดความสุขด้วย


ประการที่สาม ถ้าพูดในระยะยาวถึงเรื่องภพชาติแล้ว คุณโยมและภรรยาคงเคยผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติ จึงเป็นเหตุให้ชาตินี้ได้เป็นสามีภรรยากัน และต่อไปในชาติหน้าก็อาจจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีก


ถ้าคุณโยมไม่แก้ปัญหาให้เกิดความเข้าใจกัน
ไม่ได้ให้อภัยและอโหสิกรรมให้แก่กันในชาตินี้
ชาตินี้เป็นอยู่อย่างไร ชาติหน้าก็จะเป็นเหมือนกับที่เป็นอยู่ในชาตินี้เช่นกัน


ใครได้เปรียบในชาตินี้ ชาติหน้าก็จะเสียเปรียบ
ใครเสียเปรียบในชาตินี้ ชาติหน้าก็จะได้เปรียบ


เรื่องกรรมก็เป็นเช่นนี้

ใครฆ่าเราในชาตินี้ ชาติหน้าเราก็ฆ่าเขา


ถ้าชาตินี้เขาทอดทิ้งเรา ชาติหน้าเราก็ทอดทิ้งเขา
ถ้าชาตินี้ใครนอกใจเรา ชาติหน้าเขาก็จะถูกนอกใจเช่นกัน
เรื่องที่คุณโยมประสบอยู่ในขณะนี้
ชาติก่อนคุณโยมอาจเป็นฝ่ายทำเขาก่อนก็เป็นได้
ดังนั้น ถ้าเรามองจากทั้ง 2 ฝ่ายในระยะยาวแล้ว
ต่างคนจึงต่างเป็นผู้ผิด
เหมือนไก่กับไข่ซึ่งไม่มีเงื่อนงำว่าอะไรเกิดก่อนกัน
ในเรื่องนี้ก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครผิดก่อนกัน


เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว พิจารณาดูจะเห็นว่า
สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว
เพราะถ้ายังอยู่ในสภาพนี้ ชาติต่อๆ ไป ก็จะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
ทำให้ต้องทุกข์ต่อไปหลายภพหลายชาติ
ผู้ที่ไม่ประมาทจึงควรแก้ปัญหาในชาตินี้
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ คือคิดแก้ปัญหาที่ตัวเราก่อน แก้ที่ใจเรา


สิ่งที่ควรปฏิบัติ คือ
(1)
ยอมรับความจริงดังกล่าว
(2)
ปล่อยวางอดีต ให้เหมือนกับไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
(3)
ให้อภัย เจริญเมตตา ไม่ถือโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาทเขา
(4)
ทำใจเราให้สงบ


เมื่อทำได้เช่นนี้จริงๆ เราจะอยู่ด้วยกันในชาตินี้ก็ดี ชาติหน้าก็ดี
ก็อยู่ด้วยกันอย่างปกติสุขได้


การคืนดีกันในชาตินี้ จะได้หรือไม่ ไม่ควรถือว่าสำคัญ
ขอให้เรามีจิตใจที่จะคืนดีแก่เขาอยู่ในตัวเราก่อน
ปฏิบัติตนเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี
จนเขารู้จัก เข้าใจ และเห็นใจเรา
และควรจะปฏิบัติให้มีการอโหสิกรรมแก่เขา
ซึ่งก็เหมือนช่วยตัวเองด้วย อย่างน้อยเราก็จะมีชีวิตที่เป็นสุขได้
ในเรื่องภรรยาและลูกก็ไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก
ขณะนี้เราอาจจะมีความรู้สึกว่าเขาหนีจากเราไป


ถ้าลองเปลี่ยนความคิดดู พลิกนิดเดียว
ลองคิดว่า เราจะหนีจากเขาบ้าง
ลองมาบวชดูชั่วคราว
หรือจะบวชตลอดไปก็ได้ ถ้ามีความสุข
เพราะความสุขความสบายจากการอยู่คนเดียวก็มีเหมือนกัน


อย่างที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า
การไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ
ถึงจะอยู่คนเดียว ก็พยายามอยู่ให้มีความสุข


เขาจะกลับมาก็ได้ ไม่กลับมาก็ได้


สุดท้ายนี้ ขอให้คุณโยมพิจารณาให้ดีๆ
ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักพุทธธรรม สมเหตุ สมผล
และขอให้บรรเทาทุกข์ พ้นทุกข์โดยเร็วๆ นี้
ขอให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป..... เจริญพร

 


โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
.................................................................
คัดลอกบางตอนมาจาก ::
หนังสือพลิกนิดเดียว ตอนพระอาจารย์ตอบจดหมายโยม

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรให้อยู่รอด...หลังเลิกรากับหวานใจ

หลัง จากต้องเลิกรากับสุดเลิฟอย่างขื่นขม ก็ถึงช่วงเวลาที่ต้องเยียวยาหัวใจและหาความสงบให้ตัวเอง ช่วงนี้คือช่วงที่ยากลำบากเพราะแผลยังสดเลือดยังไหลซิบไม่ยอมหยุด

ทำอย่างไรให้อยู่รอด...หลังเลิกรากับหวานใจby ตะละแม่วีนัส


เป็นช่วงเวลาที่เรายังไม่พร้อมออกไปเผชิญโลกและทำหน้าตาชื่นบานว่า เชอะ ช่างมันฉันไม่แคร์ ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก มาดูกันสิว่าเราจะเอาชีวิตรอดช่วงวิกฤตนี้อย่างไรให้ปลอดภัย

ยาเสพติดและแอลกอฮอล์
ทุก คนรู้ลิมิตของตัวเองในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ช่วงชอกช้ำแบบนี้สติสตังคนเรามักผิดเพี้ยนเสมอ เอาเป็นว่า เมาให้ลืมเธอ แค่เบาะๆ ก็พอ เช่น ดื่มค็อกเทลสัก 1-2 แก้วแค่ 2-3 คืนติดกันก็พอ แต่ถ้าคิดถึงของที่รุนแรงกว่านี้ก็ควรคิดทบทวนดูใหม่ เพราะการเมาสารเสพติดไปอีกเป็นเดือน ไม่ได้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นหรอกค่ะ

  • ยาเสพติด
    อย่าขับรถตอนกำลังเมาเพียบโดยเด็ดขาด หรือแม้แต่ตอนที่เหนื่อยล้าสุดๆ หรือตาฝ้าฟางมองอะไรไม่ถนัด ขอแนะนำให้ไหว้วานคนที่ไม่รู้เห็นเรื่องการเลิกรามาขับรถให้ หรือนั่งแท็กซี่ดีกว่า
    ยาเสพยาที่ไม่รู้แหล่งที่มาแน่ชัด เพราะเราไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิต
    อย่าเสพยาที่ไม่เคยลองมาก่อน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทดลองอะไร
    อย่ากินยาเกินกว่าแพทย์สั่ง เพราะไปๆ มาๆ อาจนำไปสู่การคิดที่จะฆ่าตัวตายได้
    อย่าเสพยาถ้าเคยมีประวัติติดยาเสพติดมาก่อน
    อย่าเสพยาตอนอยู่คนเดียว
  • แอลกอฮอล์
    อย่าขับรถตอนเมาหรือมีเครื่องดื่มอยู่ในมือ
    อย่าดื่มมากกว่าที่เคยยามอยู่คนเดียว อาจเกิดอันตรายได้
    อย่าดื่มนู่นนี่ผสมกันมั่วไปหมด ผลที่ตามมาอาจเละเทะกว่าที่คิด

    ตาม ปกติคนที่ไม่ใช่นักดื่มมักจะหันมาเมาหัวราน้ำตอนอกหักนี่ละ อย่าลืมว่าร่างกายของเราไม่ชินกับของมึนเมา ดีไม่ดีอาจอ้วกแตกเอาง่ายๆ แถมยังเมาค้างปวดหัวแบบสุดๆ และต่อให้เป็นนักดื่มอยู่แล้วก็จะดื่มมากกว่าปกติเพื่อ เมาให้ลืมเธอ แน่นอนว่าวันถัดมาไม่มีใครรู้สึกดีขึ้น มีแต่จะรู้สึกว่าชีวิตแย่ลงกว่าเดิม

    อาหาร
    อกหักชอกช้ำขนาดนี้ ระบบการกินย่อมผิดปกติแน่นอน ถ้าไม่กินเป็นพายุบุแคมก็ต้องหมดความอยากอาหาร รับประทานไม่ลงกันเลยทีเดียว

  • กินไม่ลง
    ตามปกติเป็นคนที่เอนจอยอีทติ้งสุดๆ แต่พอหัวใจมันเจ็บช้ำ ก็เลยกระเดือกอะไรไม่ลงนอกจากเครื่องดื่มนิดหน่อยกับสูบบุหรี่เท่านั้น จริงๆ แล้วถ้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเกิน 24 ชั่วโมงควรกินอะไรบ้าง นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี อาจเป็นขนมปังหรือแซนวิชอะไรก็ได้ สมองจะได้ปลอดโปร่งไม่เป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน
  • กินแหลก
    ถ้าไม่อยากให้ตัวเองล้มป่วยเพราะกินอะไรไม่ลง ป่วยทางใจแล้วอย่าให้ป่วยทางกาย ก็ปล่อยให้ตัวเองกินอะไรตามใจปากไปซะเลย บางคนพออกหักแล้วก็คว้าช็อกโกแล็ตมากินเป็นโหล เพราะฉะนั้นจงกินอะไรก็ได้ที่ใจอยาก แค่ 2-3 วันคงไม่มีผลอะไรกับน้ำหนักตัวหรอกค่ะ

    น้ำ
    แน่ นอนว่าชอกช้ำขนาดนี้ย่อมเสียน้ำตาไปหลายปี๊บเพราะเอาแต่ร้องไห้เป็นวรรคเป็น เวร หรือไม่ก็เมาหัวราน้ำ และเมาค้างขนาดหนัก ร่างกายต้องการน้ำบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก การขาดน้ำไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่มันทำให้ร่างกายไม่สดชื่นและรู้สึกแย่มากๆ แถมยังส่งผลต่อผิวพรรณและเส้นผมอีกด้วย ดังนั้นควรจิบน้ำไว้เรื่อยๆค่ะ

    บุหรี่

    สำหรับ คนที่ไม่ใช่นักสูบตามปกติ มักจะสูบบุหรี่ช่วง 2-3 วันแรกหลังเลิกราแล้วก็เลิกสูบเมื่อรู้สึกดีขึ้น แต่บางคนไม่เป็นอย่างนั้น ตอนแรกแค่คิดจะสูบเพื่อย้อมใจ ไปๆ มาๆ เลยติดบุหรี่ สูบมาเรื่อยจนเลิกไม่ได้

    ถ้าเพิ่งเลิกบุหรี่ไปหมาดๆ ถือว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่งของชีวิต อย่าได้หวนกลับมาทำลายตัวเองเพราะผู้ชายคนเดียว

    ถ้า เป็นนักสูบอยู่แล้วก็จงสูบต่อไป นี่ยังไม่ใช่เวลาเลิกบุหรี่ สุบอีกสัก 2-3 คอตตอนคงไม่ทำให้เป็นมะเร็งปอดปุบปับขึ้นมาตอนนี้หรอกค่ะ เอาไว้ค่อยเลิกทีหลัง

    ออกกำลังกาย
    ถ้า เป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ลองผ่อนคลายดูบ้าง หยุดไปฟิตเนสสัก 2-3 วันคงไม่ทำให้ชีวิตแย่หรือหุ่นจะเผละเป็นช้างน้ำแน่ แต่ถ้าไม่ใช่คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็ไม่ต้องกระเหี้ยนกระหือไปวิ่ง 10 กม.ไม่ยอมหยุด เอาเป็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่ควรกดดันตัวเองไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม

    สถานที่ปลอดภัย
    จินตนาการ ถึงสถานที่ที่มีความสุขและปลอดภัยสำหรับเรา อาจเป็นบ้านคุณยายที่เราเคยวิ่งเล่นกับลูกพี่ลูกน้องสมัยเด็กๆ อาจเป็นกระท่อมริมทะเลยามพระอาทิตย์ตกดิน อาจเป็นอ่างอาบน้ำแสนสบายที่บ้านของตัวเองก็ได้ ทุกครั้งที่เราเริ่มจิตตกจมดิ่งสู่ความขื่นขมให้จินตนาการว่าตัวเองกำลัง อยู่ในสถานที่อันปลอดภัยและมีความสุขเหล่านี้ ถึงแม้จริงๆ แล้วเรากำลังนั่งอยู่บนรถไฟมุ่งกลับบ้านก็เถอะ และปล่อยให้ตัวเองอยู่ในจินตนาการนั้นจนกระทั่งรู้สึกดีขึ้น

    กิจกรรมอื่นๆ
    นอน บนเตียง ในท่าคุดคู้เหมือนทารกในท้องแม่ บางครั้งเราก็ไม่อยากทำอะไรนอกจากปล่อยให้ตัวเองอยู่อย่างเจ็บช้ำแบบนี้ละ แต่อย่านอนหงิกแบบนี้เกินหนึ่งวัน

    เดินเล่นสัก 5 นาที เราอาจรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมออกจากบ้าน แต่การเดินเล่นแถวบ้านในช่วงสั้นๆ รับอากาศบริสุทธิ์สักนิด อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้างแทนที่จะซุกตัวอยู่บนเก้าอี้นวมเพียงอย่างเดียว

    ดูหนัง เราอาจไร้อารมณ์ที่จะดูหนัง แต่อย่างน้อยความมืดในโรงหนังก็ทำให้ไม่มีใครมองเห็นดวงตาที่บวมช้ำและจมูก แดงเรื่อ ควรเลือกไปดูหนังในช่วงกลางวันเพื่อจะได้ไม่บังเอิญไปจ๊ะเอ๋กับคนรู้จัก หรือจะเช่าหนังมาดูที่บ้านก็ได้ จะได้ร้องไห้เวลาอินกับหนังให้สาแก่ใจไปเลย ถือว่าเป็นการปลอดปล่อยและระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจได้ดีอีกวิธีหนึ่ง

    ดูทีวี นั่งดูไปเลยค่ะ ดูมันทั้งวันก็ได้ รายการดีหรือห่วยแค่ไหนก็ตามสะดวก
    ช่วงนี้ถือเป็นช่วงอันตรายลูกผีลูกคน ควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังอย่าดราม่าจนเกินไป เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองค่ะ.

  •  

    ที่มา  http://lifestyle.th.msn.com/love/relationship/article.aspx?cp-documentid=4270925

    วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

    เพราะ "รัก" คือการไม่เบียดเบียน

    จากสวนโมกข์

    (อันนี้ถอดความหมายมาอีกทีนะ)

    พระพุทธเจ้าเคยตัสแก่วาวิฏฐีว่า

    "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"
    แท้จริงแล้วประโยคนี้นั้นลึกซึ้ง ความรักมันไม่ทำให้ใครทุกข์หรอก แต่เอามันไปอยู่ ณ ที่ใด ยึดมั่นอยู่ที่ไหน ทุกข์จะเกิด แต่สามารถรักได้แบบเผื่อแผ่ทั้งหมด ไม่ยึดอยู่ที่ใด สุขจะเกิด


    From. http://www.dharmamag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=202&Itemid=72

    โดย พัฒนเดช

    เพื่อนๆ เคยรู้สึกไหมว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา
    มีใครคนหนึ่งที่รักและห่วงใยเรามากกว่าใครๆ
    เขาคนนั้นอาจจะเคยเบื่อเราบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงไม่นาน...
    เขาคนนั้นอาจจะเคยโกรธเราบ้าง แต่ก็พร้อมจะให้อภัยเสมอ

    ในยามที่เรามีความทุกข์...
    เขาจะคอยปลอบโยนเราทุกทาง จนกว่าความทุกข์นั้นจะหายไป
    ในยามที่เราสุข...
    เขาจะยิ้มร่าและมีความสุขร่วมไปกับเรา

    เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นตัวเราเอง...

    ยามใดที่เรา เผชิญกับปัญหาและท้อแท้
    ใจของเรานี่แหละ จะกระซิบกับเราอย่างอ่อนโยนว่า
    "ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ไว้ แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไป"
    ไม่ว่าเราจะทำเรื่อง ที่น่าผิดหวัง หรือเลวร้ายเพียงใด
    ลึกๆ ในใจเราก็ยังรักและพร้อมให้อภัยตัวเองเสมอ

    เราหวังดีต่อตัวเอง อยากให้ตัวเองได้กินอิ่ม นอนหลับสบาย
    ถ้าเพื่อ ตัวเอง และ คนที่ ตัวเอง รักแล้ว
    เรายอมตรากตรำทุกอย่างไม่ว่าจะเหนื่อยยากเพียงไร

    ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
    “ความรักที่เสมอด้วยความรักตนเองนั้นไม่มี”

    (แม้จะมีบางคน ที่เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา หรือความทุกข์แล้ว เอาแต่โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง หรืออาจจะหาทางออกผิดๆ ถึงขั้นฆ่าตัวตายก็ตาม แต่นั่นก็มาจากความรักตัวเอง เช่นเขาอาจจะเชื่อว่า "ความตาย" เป็นการหนีทุกข์
    ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด ด้วยเหตุที่คนเหล่านั้น ขาดสติรู้ตัว และปัญญารู้คิดพิจารณา ว่าการกระทำใด ที่เป็นโทษและประโยชน์แก่ตัวเองอย่างแท้จริง)

    หากเปิดใจออกมาสัมผัสดู เราจะรู้สึกว่าความรักที่เรามีต่อตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด

    เสมือนอากาศที่แวดล้อมเราอยู่ จนบางครั้งเราก็ลืมนึกถึงมัน
    แต่ลึกๆ แล้วการกระทำทุกอย่างของเรา ล้วนออกมาจากความรักตัวเองทั้งสิ้น

    (เพื่อนๆ หลายคนอาจนึกแย้งว่า การกระทำที่ไม่ได้มาจากความรักตัวเอง เช่น การ เสียสละ ก็มีอยู่นี่นา... ไม่ผิดหรอกครับ ลองอ่านต่อไปนะครับ ^^)

    ใครที่ได้สัมผัสกับความรักตนเองแล้ว เขาย่อมมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เขาย่อมเข้าใจดีว่าทั้งคนและสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีหัวใจเหมือนกัน
    ความทุกข์ใดที่เขาเคยผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะ ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทำร้ายจิตใจ ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกทรยศหักหลัง เจ็บป่วย สูญเสียคนรัก ฯลฯ

    เขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่ามันขื่นขมและทรมานเพียงไร และในเมื่อเขาไม่ปรารถนาจะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นอีก เขาย่อมเข้าใจเช่นกันว่าผู้อื่นก็ย่อมไม่ปรารถนาจะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น ผู้ที่มีความรักที่แท้จริง คือผู้ที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ย่อมรักทั้งคนและสัตว์ทั้งหลายอย่างจริงใจ ไม่แบ่งแยก เขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ โดยไม่เลือกมิตรศัตรู คนรู้จัก หรือคนแปลกหน้า
    เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่มีความเมตตาต่อพระเทวทัตผู้คิดร้ายต่อพระองค์ ความรักของบุคคลเหล่านั้นมีแต่การให้ เพราะใจของเขาเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว จึงไม่ร้องขออะไรจากผู้อื่น ทุกการกระทำมีแต่การสละออก แต่การสละออกนั้นไม่ได้ทำให้คุณธรรมของเขาพร่องไป ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มพูน เหมือนการต่อเทียนที่ยิ่งจุดก็มีแต่จะยิ่งส่องสว่าง


    ผู้ที่รักตัวเองอย่างแท้จริงย่อมรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่ดีกับตัวเองจริงๆ เขาย่อมรู้ว่าทรัพย์ภายนอก ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ
    ย่อมไม่อยู่กับเขาตลอดไป และไม่ควรฝากความสุขไว้กับสิ่งเหล่านั้น ผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตา เช่นพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่รักตัวเอง แต่เพราะ พระองค์รักตัวเอง จึงสะสม อริยทรัพย์ คือทรัพย์ภายใน ที่ไม่มีใครขโมยไปจากพระองค์ได้เป็นทรัพย์ที่จะติดตัวพระองค์ไปทุกชาติ และเป็นบารมีส่งเสริมให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติสุดท้าย


    อริยทรัพย์ ๗ มี

    ๑. ศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม

    ๒. ศีล เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

    ๓. หิริ เป็นผู้มีความละอาย คือละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตละอาย ต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก

    ๔. โอตตัปปะ เป็นผู้มีความสะดุ้งกลัว คือ สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก

    ๕. สุตะ เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลาย อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

    ๖. จาคะ เป็นผู้มีใจอันปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละควรแก่การขอ ยินดีในทานและการจำแนกทาน

    ๗. ปัญญา ประกอบด้วยปัญญาที่กำหนดความเกิด และความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ

    ในปัจจุบันผมเห็นคนด่าทอกัน ทะเลาะกัน ทำร้ายกันเป็นเรื่องง่ายดาย เพื่อนๆ เองเคยมีไหมครับ ที่บางครั้งก็รู้สึกไม่พอใจใครขึ้นมา จนพลั้งปากด่าผู้อื่น (หรือจะเจตนาด่าด้วยความสะใจก็ตาม - -)

    แต่ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าถ้อยคำที่กล่าวโดยมีเจตนาด่าทอผู้อื่นนั้น ไม่ว่าผู้พูดจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ย่อมออกมาจากใจที่คิดเบียดเบียนเสมอ คำพูดที่เจตนาจะให้คนฟังร้อนด้วยโทสะนั้น
    ย่อมต้องผ่านใจและปากของผู้พูดก่อนจะถึงหูคนฟัง

    ดังนั้น ก่อนที่ผู้ฟังจะได้ยินคำพูดนั้น ใจของผู้พูดเองจะต้องกระสับกระส่ายเร่าร้อนเสียก่อน และนั่นคือการเบียดเบียนตนเอง

    หากคิดแบบปุถุชน... เราอาจจะเห็นว่าในโลกนี้มีคนที่สมควรถูกด่าอยู่ แต่ถ้าเรารักตัวเองมากพอ... ก็จะรู้ว่าไม่มีเหตุผลสมควรเลยที่เราจะด่าทอผู้อื่น (ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเลวเพียงใดก็ตาม) เพราะตอนที่เราด่าทอผู้อื่นนั่นแหละ คือชั่วขณะที่เรากำลังเบียดเบียนคนที่เรารักที่สุด
    ***********


    โครงการแบ่งรักปันธรรม
    มอบความรัก ความปรารถนาดีด้วยธรรมะ^^

    ที่มา http://www.facebook.com/note.php?note_id=150835528264334&id=100000776436714

    วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

    ตัดใจอย่างไร เมื่อรักใครสักคนที่ไม่ดีพอ

     

    ##########@@@@@@@@###########

    เชื่อไหม ก่อนหน้านี้ เคย สั่งตัวเอง ไว้เสมอ .. ว่าอย่ารักใครอีกเลย  อย่าทำตัวให้ใจเจ็บ  พยายาม ปิดกั้น ตัวเอง และมองความรัก ในแง่ร้าย อยู่ ตลอด ตามประสา คนเคยเจ็บปวด  เมื่อความรักจากใครๆ ตั้งท่าจะมาทักทาย  ที่มักจะทำเสมอ คือ การคอย ปิดประตู และ แอบซ่อนมัน

    จนมาวันหนึ่ง กับคนๆหนึ่ง  เพียงแค่ ความรัก มาเคาะประตู  หัวใจตัวดี ก็กลับรีบเปิดต้อนรับมัน ซะนี่ เหมือนกลัวว่า ความรัก มันจะ เดินเลยผ่านไป ซะอย่างนั้น จนลืมทุกสิ่ง ที่เคย เตือนตัวเอง

    หลังจากที่ เปิดประตู ต้อนรับให้ ความรักเข้ามา   เวลาผ่านไปไม่นาน ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยค่ะ

    เคยไหม ที่ รู้สึก รักคนๆหนึ่ง ที่ ดูแล้ว ไม่ควรจะรัก เลยด้วยซ้ำ

    หลายๆครั้ง ที่ลองนั่งทบทวน หา ความดี ที่คนๆนั้นมี แต่กลับหาไม่เจอ สุดท้าย ต้องย้อน กลับมาถามตัวเอง ด้วยความอึดอัด ว่าเรา รักเขา ทำไม และ เขามีดีอะไร …

    - ไม่เคยสนใจเรา ไม่มีเวลาให้  โทรศัพท์ แทบจะไม่มี

    -  เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ขี้หงุดหงิด เจ้าอารมณ์

    - เจ้าชู้ ปากหวาน ขี้คุย ขี้โม้ ชอบหว่านเสน่ห์

    - ขี้เหล้า ดูดบุหรี่  เล่นการพนัน

    - เห็นเพื่อนๆ ดีกว่าเรา 

    - สปอร์ตกับเพื่อนฝูง กับเราไม่เคยนึกถึง

    ##########@@@@@@@@###########

    เมื่อ หาข้อดีของเขา ไม่ได้ …. สิ่งที่เกิดขึ้น คือความ ไม่เข้าใจตัวเอง

    ได้แต่เฝ้า ถามตัวเอง อยู่เสมอ ว่า ทำไม ต้องรักคนแบบนี้ แต่ ก็ไม่เคยได้คำตอบ  สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความเครียด อยู่เสมอ

    ไม่มี อะไร จะทำร้ายตัวเราเอง ได้มากเท่าความคิด

    หลายครั้ง ที่เฝ้าหา วิธี ที่จะทำให้ใจเข้มแข็ง  …  ตามประสาคนใจอ่อน ที่พอเขาได้พูด ได้คุย ได้อยู่ใกล้ มาทำดีด้วย ก็ยิ่งอ่อนไหว

    สุดท้ายยิ่งค้นหา ก็ยิ่งสับสน ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ และง่ายที่สุด ที่คิดว่า จะสามารถช่วยให้ อะไรๆดีขึ้นมาได้ นั้นคือ การ สั่ง ให้ ใจ เกลียด!!!

    วันนี้ ทำได้ เท่านี้ จริงๆ ค่ะ …. อดีตที่เจ็บปวด ไม่ได้ช่วยอะไรเลย สำหรับคนจิตใจอ่อนแอ …

    ถ้าเป็นคุณ  … คุณจะทำอย่างไร???

    คนที่ทําร้ายจิตใจเรา ไม่สมควรที่จะได้หัวใจของเรา
    คนที่ทําให้เราร้องไห้ ไม่สมควรที่เราจะรัก
    คนที่ทรยศเรา ไม่สมควรที่จะได้รับโอกาสแก้ตัวเป็นครั้งที่สอง
    ...
    คนที่ทําให้เราทุกข์ใจ ไม่สมควรที่เราจะรู้จัก
    และคนที่ทําทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่คู่ควรที่จะเป็นเสี้ยวหนึ่งในชีวิต หรืออยู่ในเสี้ยวนึงของจิตใจเรา